ผลการประเมินในปี พ.ศ. 2566 พบว่า มีธนาคาร 8 แห่ง ที่ได้รับคะแนนในหมวดนี้ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารทหารไทยธนชาต ธนาคารทิสโก้ และธนาคารออมสิน โดยสำหรับธนาคารทิสโก้และธนาคารออมสินได้รับคะแนนในหมวดนี้เป็นปีแรกจากการกำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ข้อ 1) อย่างไรก็ตาม ธนาคารทิสโก้มีการกำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สอดคล้องกับเป้าหมายการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส จึงทำให้ได้รับคะแนนเต็มในข้อนี้ ขณะที่ธนาคารออมสินประกาศเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2050 ซึ่งไม่สอดคล้องกับเป้าหมายการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส จึงทำให้ได้รับคะแนนบางส่วน
ในภาพรวมหมวดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีคะแนนเฉลี่ยลดลงจาก 0.86 คะแนน ในปี พ.ศ. 2565 เป็น 0.82 คะแนน ในปี พ.ศ. 2566 (ลดลง 0.04 คะแนน) เนื่องจากเกณฑ์ Fair Finance Guide Methodology ฉบับปรับปรุง ค.ศ. 2023 หมวดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีการยกเลิกเกณฑ์การประเมินเดิม 12 ข้อ และเพิ่มเกณฑ์การประเมินใหม่ 14 ข้อ ส่งผลให้ธนาคารหลายแห่งมีคะแนนลดลง
สำหรับธนาคารที่ได้รับคะแนนเพิ่มขึ้นจากปีก่อนมีทั้งหมด 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย และธนาคารกสิกรไทย โดยสำหรับธนาคารกสิกรไทยถือเป็นธนาคารที่ได้รับคะแนนเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากในปีนี้ (เพิ่มขึ้น 68.18%) จากการวัดและเปิดเผยปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามแนวทางที่แนะนำโดย TCFD ซึ่งมีการเปิดเผยปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 1, 2, และ 3 แบบสัมบูรณ์ (absolute) ในพอร์ตโฟลิโอและสินทรัพย์ทางการเงินทั้งหมดของธนาคาร (ข้อ 2, 3, และ 6) ตลอดจนการประกาศนโยบายที่สอดคล้องกับหัวข้อการประเมินใหม่ อาทิ การกำหนดนโยบายไม่ให้การสนับสนุนทางการเงินกับธุรกิจโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เกิดขึ้นใหม่ รวมถึงเหมืองถ่านหิน ธุรกิจค้าถ่านหิน และธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับถ่านหิน (ข้อ 7 และ 8) การกำหนดกลยุทธ์และกรอบเวลาที่ชัดเจนในการยกเลิกการสนับสนุนถ่านหิน ที่สอดคล้องกับการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส (ข้อ 12)