ผลการประเมินหมวดอาวุธ พ.ศ. 2567 พบว่า ธนาคารทุกแห่งได้คะแนนในหมวดนี้ จากการประกาศนโยบายไม่ให้การสนับสนุนทางการเงินและสินเชื่อแก่ธุรกิจที่ผลิตหรือค้า “อาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง” โดยอาวุธกลุ่มดังกล่าว หมายถึง อาวุธนิวเคลียร์ อาวุธชีวภาพ อาวุธเคมี หรืออาวุธอื่นใดซึ่งมีอานุภาพที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตมนุษย์ สัตว์ พืช จํานวนมากหรือต่อสิ่งแวดล้อมอย่างร้ายแรงทํานองเดียวกับอาวุธดังกล่าว รวมทั้งระบบการส่งอาวุธ ส่วนประกอบหรืออุปกรณ์ของอาวุธนั้นด้วย (ข้อ 3-6) ซึ่งการประกาศนโยบายดังกล่าวเป็นไปตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย และการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทําลายล้างสูง พ.ศ. 2559
ธนาคารที่ได้รับคะแนนเพิ่มขึ้นในหมวดนี้ ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารออมสิน จากการมีนโยบายไม่ยอมรับการใช้ การผลิต การพัฒนา การบำรุงรักษา การทดสอบ การกักตุน และการค้าทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (anti-personal landmines) รวมถึงส่วนประกอบสำคัญของทุ่นระเบิดสังหารบุคคล รวมถึงระเบิดลูกปราย (cluster munition) และส่วนประกอบสำคัญของระเบิดลูกปราย (ข้อ 1-2) นอกจากนี้ ธนาคารออมสินได้รับคะแนนเพิ่มขึ้นจากการมีนโยบายไม่ยอมรับการใช้ การผลิต การพัฒนา การบำรุงรักษา การทดสอบ การกักตุน และการค้าระบบอาวุธอัตโนมัติรุนแรง (lethal autonomous weapons systems : LAWS) รวมถึงส่วนประกอบที่ออกแบบมาสำหรับ LAWS (ข้อ 7)
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมคะแนนในหมวดนี้ลดลงจาก 4.36 คะแนน ในปี พ.ศ. 2566 เป็น 3.81 คะแนนในปี พ.ศ. 2567 (ลดลง 0.55 คะแนน) โดยมีสาเหตุหลักมาจากการได้รับคะแนนลดลงของธนาคารกรุงไทย และธนาคารกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากไม่พบนโยบายรายการสินเชื่อที่ธนาคารไม่ประสงค์ให้กู้หรือให้การสนับสนุนทางการเงิน (Exclusion List) เช่น การไม่ยอมรับการส่งสินค้าทางทหารไปยังคู่ขัดแย้งที่มีส่วนร่วมในความรุนแรง ยกเว้นว่าเป็นฝ่ายที่กำลังทำตามมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UN Security Council) ประเทศที่มีการทุจริตคอร์รัปชันอย่างรุนแรง ประเทศที่รัฐล้มเหลวหรือเปราะบาง และประเทศที่ใช้เงินงบประมาณมากเกินสัดส่วนที่สมควรไปกับการซื้ออาวุธ (ข้อ 12-15) เป็นต้น (ธนาคารเคยได้คะแนนในปีก่อน แต่ไม่ได้คะแนนในปีนี้)