I. เขื่อนไซยะบุรี
สถานที่: สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
เขื่อนไซยะบุรีเป็นเขื่อนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนแม่น้ำโขง โดยแต่เดิมเป็นพื้นที่ทำเกษตร 112.5 ไร่ และพื้นที่สวนสัก 1012.5 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 10 หมู่บ้าน 391 ครัวเรือน เป็นประชากรรวม 2,130 คน ประชากรส่วนใหญ่ทำอาชีพหาปลา ปลูกไม้สัก และร่อนทองคำ ซึ่งตัวโครงการสร้างผลกระทบรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อมและสภาพชุมชน ทั้งในประเทศลาวและประเทศใต้ลุ่มน้ำด้านล่าง ในประเด็นดังต่อไปนี้
1. เกิดการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำท้ายเขื่อนไซยะบุรี ทำให้เกิดความผันผวนของระดับน้ำโขงอย่างมาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้อยู่อาศัยท้ายเขื่อน
2. เปลี่ยนแปลงการระบายตะกอนที่สะสมบริเวณเหนือเขื่อน ส่งผลต่อคุณภาพออกซิเจนในน้ำลดลง และส่งผลกระทบทางลบต่อคุณภาพน้ำบริเวณเหนือเขื่อน
3. เขื่อนสร้างกีดขวางเส้นทางอพยพของปลา ส่งผลกระทบทางลบต่อระบบนิเวศและเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของปลาอย่างรุนแรง แม้ทางโครงการระบุว่ามีเทคโนโลยีทางผ่านปลา แต่เทคโนโลยีดังกล่าวสามารถใช้ได้กับปลาบางสายพันธุ์เท่านั้น
ประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน
โครงการเขื่อนไซยะบุรีไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนโดยรอบโดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการสูญเสียที่อยู่อาศัยและโอกาสในการประกอบอาชีพในภูมิลำเนา และกลุ่มภาคประชาสังคมในประเทศลาวได้แสดงความคิดเห็นต่อการก่อสร้างโครงการเขื่อนไซยะบุรี
ธนาคารที่ปล่อยสินเชื่อแก่โครงการเขื่อนไซยะบุรี
- ธนาคารกรุงเทพ
- ธนาคารไทยพาณิชย์
- ธนาคารกรุงไทย
- ธนาคารกสิกรไทย
- ธนาคารทิสโก้
- ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย [ไม่ได้ถูกประเมิน]
อ่านกรณีศึกษา: ความท้าทายของการให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เขื่อน: กรณีศึกษาโครงการไซยะบุรี และเซเปียน-เซน้ำน้อย
II. โครงการเหมืองและโรงไฟฟ้าหงสาลิกไนต์
สถานที่: สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (ที่ตั้งเหมืองและโรงงานไฟฟ้า) และ ประเทศไทย (ที่ตั้งเสาและระบบสายส่ง)
สภาพชุมชนโดยรอบที่ตั้งโครงการก่อนดำเนินโครงการเดิมเป็นพื้นที่ป่า มีชุมชนที่จะต้องโยกย้ายถิ่นฐานกว่า 6 หมู่บ้าน 400 หลังคาเรือน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ไทยลื้อ โดยตัวโครงการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสภาพชุมชนในประเด็นดังต่อไปนี้
- ชาวบ้านและองค์กรพัฒนาเอกชนในอำเภอหงสา แขวงไซยะบุรี สปป.ลาว ไม่สามารถเข้าไปทำงานในพื้นที่ได้โดยง่ายเนื่องจากถูกปิดกั้นจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น
- ได้รับผลกระทบจากโรงงานที่สร้างมลพิษทางอากาศและปล่อยโลหะหนักลงสู่แหล่งน้ำชุมชน
ประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน
ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนในช่วงต้นของการดำเนินโครงการ
- เกิดการไม่มีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบในอำเภอหงสา แขวงไซยะบุรี สปป. ลาว
- ไม่มีการชี้แจงข้อมูลรายละเอียดโครงการและข้อมูลผลกระทบที่ครบถ้วนชัดเจน
- การดำเนินการเกี่ยวกับเงินชดเชยของรัฐเป็นไปอย่างล่าช้า
ในประเทศไทย เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนในโครงการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าจากโรงงานไฟฟ้าหงสา ในจังหวัดน่าน
- ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบไม่ได้รับแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับโครงการมาก่อน
- รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment: EIA) ไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
- ชาวบ้านจำนวนหนึ่งถูกลิดรอนสิทธิบนพื้นที่ทำกิน เนื่องจากทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มิได้ซื้อที่ดินจากประชาชนแต่จ่ายเงินเป็นค่าทดแทนซึ่งต่ำกว่าราคาประเมิน นอกจากนี้ เจ้าของที่ดินที่อยู่ในเขตเดินสายไฟฟ้ายังถูกห้ามมิให้ปลูกโรงเรือนและไม้ยืนต้นในเขตเดินสายไฟฟ้าอีกด้วย
ธนาคารที่ปล่อยสินเชื่อแก่โครงการเหมืองและโรงไฟฟ้าหงสาลิกไนต์
- ธนาคารกรุงเทพ
- ธนาคารไทยพาณิชย์
- ธนาคารกรุงไทย
- ธนาคารกสิกรไทย
- ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
- ธนาคารธนชาต*
- ธนาคารทหารไทย*
- ธนาคารออมสิน
- ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย [ไม่ได้ถูกประเมิน]
*หมายเหตุ: ปัจจุบันธนาคารทหารไทยและธนาคารธนชาต ได้ควบรวมทางธุรกิจและเปลี่ยนชื่อเป็น "ธนาคารทหารไทยธนชาต"
ที่มา:
- รายงานการติดตามการลงทุนโดยตรงของไทยในต่างประเทศ ผลกระทบต่อชุมชน สิ่งแวดล้อม และการละเมิดสิทธิมนุษยชน หน้า 48
- คำร้องต่อคณะกรรมการสิทธิต่อกรณีโครงการเหมืองและโรงไฟฟ้าหงสาลิกไนต์ในจังหวัดน่าน
III. โครงการพลังงานไฟฟ้าเซเปียน-เซน้ำน้อย
สถานที่: สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
โครงการพลังงานไฟฟ้าเซเปียน-เซน้ำน้อยตั้งอยู่บนลำน้ำสาขาของแม่น้ำโขง บริเวณเขตเมืองปากซ่อง แขวงจำปาสัก ติดต่อกับชายแดนแขวงอัตปือ ซึ่งได้เริ่มลงมือก่อสร้างนับตั้งแต่ปลายปี 2556 และคาดว่าจะเสร็จในต้นปี 2562 โดยในวันที่ 23 กรกฎาคม 2561 เกิดเหตุเขื่อนดินปิดช่องเขาต่ำ D (Saddle-dam D) ของโครงการเซเปียน-เซน้ำน้อยแตก ทำให้มวลน้ำขนาด 5 ล้านลูกบาศก์เมตร ท่วมพื้นที่ใต้เขื่อน โดยมวลน้ำดังกล่าวไหลท่วมหมู่บ้านในบริเวณกัมพูชาตอนบนอีกด้วย ในสสป.ลาวมีประชากรกว่า 1,300 ครัวเรือน หรือกว่า 6,600 คนที่สูญเสียบ้าน (ข้อมูลเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2561) มีจำนวนผู้สูญหายกว่า 31 คน และมีผู้เสียชีวิตกว่า 40 คน (ข้อมูลเมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2562) ทั้งยังสร้างความสูญเสียบ้านเรือนและทรัพย์สินอีกด้วย
ประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน
- ผู้ได้รับผลกระทบไม่ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วน เกี่ยวกับผลกระทบของโครงการต่อที่อยู่อาศัย ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ป่าโดยรอบ และความหลากหลายของประชากรปลามาก่อน
- ผู้ได้รับผลกระทบได้รับการเยียวยาไม่ตรงกับที่ระบุไว้ในเอกสารแผนการตั้งถิ่นฐานใหม่และการพัฒนากลุ่มชาติพันธุ์ โดยในเอกสารระบุว่าทางโครงการจะย้ายผู้ได้รับผลกระทบไปอยู่ในพื้นที่ใหม่และให้ประชาชนมีสภาพความเป็นอยู่และความสามารถในการดำรงชีพได้เทียบเท่าหรือดีกว่าที่อยู่เดิม แต่กลับพบว่าบางพื้นที่การเข้าถึงแหล่งอาหารและน้ำทำได้ยากกว่าเดิม และคุณภาพดินในพื้นที่ใหม่ยังไม่เหมาะสมแก่การเกษตรซึ่งเป็นอาชีพหลักของผู้อพยพอีกด้วย
- ในกรณีเขื่อนดินปิดช่องเขาต่ำ D เซเปียน-เซน้ำน้อยแตก พบว่าระบบเตือนภัยกรณีฉุกเฉินมีความล่าช้าและไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ประชาชนไม่ได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้ามากเพียงพอ สร้างความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้ได้รับผลกระทบ
ธนาคารที่ปล่อยสินเชื่อแก่โครงการพลังงานไฟฟ้าเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย
- ธนาคารกรุงไทย
- ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
- ธนาคารธนชาต*
- ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย [ไม่ได้ถูกประเมิน]
*หมายเหตุ: ธนาคารทหารไทยธนชาตในปัจจุบัน
ที่มา:
- คำถามจาก International River ต่อผู้พัฒนาโครงการเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย ในกรณีที่ชาวบ้านไม่ได้รับข้อมูลผลกระทบจากการสร้างเขื่อนอย่างครบถ้วนก่อนการสร้างเขื่อน
- ตัวเลขผู้สูญหาย ผู้เสียชีวิต และการเยียวยากรณีเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อยแตก
อ่านกรณีศึกษา: ความท้าทายของการให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เขื่อน: กรณีศึกษาโครงการไซยะบุรี และเซเปียน-เซน้ำน้อย
.
ตารางสรุปธนาคารที่ปล่อยสินเชื่อแก่โครงการลงทุนข้ามพรมแดนที่มีความเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน
โครงการลงทุนข้ามพรมแดนที่มีความเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน | พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ | ธนาคารผู้ปล่อยสินเชื่อ |
เขื่อนไซยะบุรี |
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว |
|
โครงการเหมืองและโรงไฟฟ้าหงสาลิกไนต์ |
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและประเทศไทย |
|
โครงการพลังงานไฟฟ้าเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย | สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว |
|
*หมายเหตุ: ปัจจุบันธนาคารทหารไทยและธนาคารธนชาต ได้ควบรวมทางธุรกิจและเปลี่ยนชื่อเป็น "ธนาคารทหารไทยธนชาต"