เขียวจริงไหม? Thailand Taxonomy กับการนิยามการเงินเพื่อความยั่งยืน

08 สิงหาคม 2568

ปัจจุบันการเงินสีเขียวและการลงทุนอย่างยั่งยืนกลายเป็นประเด็นที่ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และนักลงทุนต่างให้ความสนใจ โดยผลสำรวจ YouGov Realtime Omnibus ปี 2022 พบว่าผู้บริโภคไทยราว 77% รู้จักฉลากสิ่งแวดล้อม เช่น ฉลากเขียว (Thai Green Label: TGL)  คำถามสำคัญจึงอยู่ที่ว่า ความยั่งยืนเหล่านั้นเป็นของจริงหรือเพียงภาพลักษณ์ทางการตลาด แม้วลี ‘เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม’ หรือ ‘การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์’ จะมีอิทธิพลในโลกธุรกิจและการลงทุน แต่หากขาดเกณฑ์ที่รัดกุมและกลไกติดตามที่โปร่งใส ความหมายของคำว่า ‘ยั่งยืน’ อาจถูกบิดเบือน และกลายเป็น ‘การฟอกเขียว’ (Greenwashing) ได้ 

Thailand Taxonomy ถูกพัฒนาขึ้นในฐานะมาตรฐานกลางของประเทศไทยที่ใช้เป็นแนวทางในการจำแนกและจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (มาตรฐานการจัดกลุ่มฯ) โดยเฉพาะการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นหลัก ทว่าประสิทธิภาพของ Thailand Taxonomy ยังคงขึ้นอยู่กับความชัดเจนของเกณฑ์และการบังคับใช้อย่างจริงจัง ซึ่งเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการฟอกเขียวได้เช่นกัน

 

Ignat Kushanrev (Unsplash)

 

Greenwashing คืออะไร ทำไมถึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม?

Greenwashing หรือ ‘การฟอกเขียว’ หมายถึงการนำเสนอภาพลักษณ์ว่าธุรกิจหรือโครงการใส่ใจสิ่งแวดล้อม ทั้งที่ในทางปฏิบัติ ผลลัพธ์ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอย่างแท้จริง หรืออาจยิ่งสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ตัวอย่างเช่น:

  • การจัดการขยะพลาสติก: กรณีกลุ่มซีพีประกาศใช้บรรจุภัณฑ์ที่ ‘รีไซเคิลได้ 100%’ แต่กรีนพีซ ประเทศไทยชี้ว่า บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุผสมจำนวนมากยังไม่สามารถรีไซเคิลได้จริงภายใต้โครงสร้างพื้นฐานปัจจุบัน
  • กิจการปศุสัตว์: กรณีฟาร์มสุกรระบบเกษตรพันธสัญญาในเพชรบุรีและราชบุรี แม้จะผ่านมาตรฐานบางประการ แต่ยังตรวจพบการปล่อยน้ำเสียที่ไม่ได้บำบัดลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ
  • โครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่: กรณีเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ เช่น เขื่อนไซยะบุรีบนแม่น้ำโขง แม้จะเป็นพลังงานหมุนเวียนจริง แต่ในทางปฏิบัติได้สร้างผลกระทบมหาศาลต่อระบบนิเวศ 

กิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงทำให้ผู้บริโภคและนักลงทุนเข้าใจผิด แต่ยังอาจบิดเบือนเป้าหมายของนโยบายสาธารณะ พร้อมทั้งชะลอการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน

 

Thailand Taxonomy: เครื่องมือสำคัญที่ยังมีโจทย์ท้าทาย

Thailand Taxonomy ระยะที่ 2 คือกรอบมาตรฐานกลางของประเทศที่พัฒนาขึ้นเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของเศรษฐกิจไทยสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) โดยใช้ระบบ ‘สัญญาณไฟจราจร’ (Traffic Light System) เพื่อจัดระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามบทบาทในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ดังต่อไปนี้:

  • สีเขียว (Green) สำหรับกิจกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำและสอดคล้องกับเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์  
  • สีเหลือง (Amber) สำหรับกิจกรรมที่ยังไม่สอดคล้องเต็มที่ แต่มีแผนและแนวทางชัดเจนในการปรับตัว
  • สีแดง (Red) สำหรับกิจกรรมที่ขัดแย้งกับเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ

แม้ Thailand Taxonomy จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดกรอบการเงินที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม แต่ในเวทีเสวนาสาธารณะที่จัดโดยสมาคมสัตววิทยาแห่งลอนดอน (ZSL) ร่วมกับแนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย (Fair Finance Thailand: FFT) Madre Brava มูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม (Environmental Justice Foundation: EJF) และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ตัวแทนจากภาคประชาสังคมได้แสดงความกังวลต่อการบังคับใช้เกณฑ์สำคัญอย่าง Do No Significant Harm (DNSH) และ Minimum Social Safeguards (MSS) ในแนวทางการปฏิบัติ โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมและการจัดการของเสียที่เกณฑ์ดังกล่าวยังขาดความชัดเจน

 

เวทีเสวนา “Thailand Taxonomy 2.0: ช่องว่าง เสียงสะท้อน และมุมมองจากภาคประชาสังคม”

 

Thailand Taxonomy ระยะที่ 2 ยังเปิดช่องให้ผู้ดำเนินโครงการสามารถจัดทำ ‘แผนการเยียวยา’ (remedial plan) สำหรับโครงการที่ไม่ผ่านเกณฑ์ DNSH หรือ MSS โดยอนุโลมให้โครงการที่ส่งแผนเยียวยา ได้รับอนุมัติว่าเข้าข่าย ‘สีเขียว’ หรือ ‘สีเหลือง’ โดยปริยาย ข้อกังวลสำคัญคือ แผนเหล่านี้มักไม่มีกรอบเวลาที่ชัดเจน ขาดตัวชี้วัดที่ตรวจสอบได้ เช่น มาตรการชดเชยความหลากหลายทางชีวภาพหรือแผนฟื้นฟูระบบนิเวศ อีกทั้งไม่ได้อ้างอิงมาตรฐานสากล ซึ่งแนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทยกังวลว่าช่องโหว่นี้อาจนำไปสู่การฟอกเขียวได้  

นอกจากนี้ เกณฑ์ DNSH ใน Thailand Taxonomy ยังขาดข้อบังคับที่ชัดเจน เช่น การจัดหาวัตถุดิบที่ปราศจากการตัดไม้ทำลายป่า และการฟื้นฟูระบบนิเวศอย่างเป็นรูปธรรม ขณะที่เกณฑ์ MSS ไม่มีข้อกำหนดสำคัญด้านการปรึกษาหารือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สิทธิแรงงานที่เป็นธรรม และความเท่าเทียมทางเพศ  สะท้อนความจำเป็นเร่งด่วนในการยกระดับเกณฑ์และกลไกกำกับดูแลให้เข้มงวด เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและลดความเสี่ยงจากการฟอกเขียว

สฤณี อาชวานันทกุล หัวหน้าทีมวิจัย แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย กล่าวว่า “กิจกรรมบางประเภทผ่านเกณฑ์ในทางเทคนิค แม้จะยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอยู่ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการยกระดับกลไกคุ้มครองให้รัดกุม พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ภาคประชาสังคมได้เข้ามามีส่วนร่วม เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการพัฒนา Thailand Taxonomy ไปในทิศทางที่ถูกต้อง และป้องกันไม่ให้เกิดการฟอกเขียวในอนาคต”

 

สฤณี อาชวานันทกุล หัวหน้าทีมวิจัย แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย

 

บทบาทของภาคประชาสังคมในการพัฒนา Thailand Taxonomy

การที่ภาคประชาสังคมออกมาแสดงความคิดเห็น เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ช่วยผลักดันนโยบายด้านความยั่งยืนให้มีความรับผิดชอบและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ซึ่งตลอดกระบวนการจัดทำ Thailand Taxonomy มีองค์กรภาคประชาสังคมเข้ามามีบทบาทอย่างต่อเนื่อง ทั้งในการให้ข้อเสนอแนะและชี้จุดที่ควรปรับปรุงเพื่อปิดช่องโหว่ของนโยบายด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม

การมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมช่วยให้เกณฑ์การจัดกลุ่มตอบโจทย์สถานการณ์จริงและสะท้อนมุมมองของผู้ได้รับผลกระทบ ตัวอย่างเช่น โครงการ ‘SeaChange’ ซึ่งเป็นแผนงานด้านความยั่งยืนของบริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมอาหารทะเลที่มุ่งเน้นการจัดหาวัตถุดิบอย่างมีความรับผิดชอบ ควบคู่การอนุรักษ์ทางทะเล การปกป้องสิทธิมนุษยชน และการปฏิบัติต่อแรงงานอย่างเป็นธรรม แม้ว่าโครงการดังกล่าวจะได้รับการยกย่องในระดับสากล พร้อมรายงานความคืบหน้า เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขตที่ 1 และ 2 (Scope 1 and 2 emissions) ลง 21% และเพิ่มการตรวจสอบย้อนกลับ (traceability) ของปลาทูน่าเป็น 98.9% ภายในปี 2567  ทว่ายังมีเสียงวิจารณ์จากภาคประชาสังคมถึงคำมั่นสัญญาด้านความยั่งยืนของบริษัทฯ ที่ยังไม่สะท้อนการดำเนินงานจริงตลอดห่วงโซ่อุปทาน

 

James Baltz (Unsplash)

 

 

ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนา Thailand Taxonomy ในระยะต่อไป

ด้วยความที่ Thailand Taxonomy เป็น ‘เอกสารที่ปรับปรุงได้’ (living document) ซึ่งสามารถทบทวนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทและความท้าทายที่เปลี่ยนแปลง ภาคประชาสังคมจึงเสนอแนวทางการปรับปรุงเอกสารในระยะต่อไป ดังต่อไปนี้:

  • ปรับเกณฑ์ DNSH และ MSS ให้มีความชัดเจนและเข้มงวดยิ่งขึ้น
  • บังคับให้โครงการที่สื่อสารว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเปิดเผยแผนการบรรเทาผลกระทบเพื่อความโปร่งใส
  • พัฒนากลไกประเมินผลโดยผู้ตรวจสอบอิสระ เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและความรับผิดชอบ
  • กำหนดตัวชี้วัดด้านความหลากหลายทางชีวภาพที่ชัดเจน พร้อมเสริมการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน

ในปี 2566 มีเพียง 10% ของบริษัทจดทะเบียนในไทยที่จัดทำรายงานข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกครบทั้งกระบวนการ  ตอกย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการยกระดับระบบตรวจสอบอิสระและกลไกความโปร่งใสในภาคการเงิน

แนวทางการปรับปรุงมาตรฐานที่นำเสนอโดยภาคประชาสังคม จะช่วยยกระดับให้ Thailand Taxonomy ก้าวข้ามการเป็นเพียงเครื่องมือจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ไปสู่กลไกเสริมในการป้องกันการฟอกเขียว และสร้างมาตรฐานความยั่งยืนที่น่าเชื่อถือในทุกภาคส่วน

 

Jakub Żerdzicki (Unsplash)

 

 

การเงินสีเขียวมีศักยภาพมหาศาลในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน แต่จะเกิดผลได้ก็ต่อเมื่อตั้งอยู่บนรากฐานของความโปร่งใสและหลักเกณฑ์ที่รัดกุม Thailand Taxonomy จึงไม่เพียงทำหน้าที่เป็นกรอบมาตรฐานกลางของประเทศฯ แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้สถาบันการเงินสามารถประเมินความสอดคล้องของลูกค้ากับมาตรฐานสากล

การรักษาความน่าเชื่อถือของ Thailand Taxonomy ไม่เพียงสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและผู้กำหนดนโยบาย แต่ยังขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะเมื่อ Thailand Taxonomy ระยะที่ 2 ได้ขยายขอบเขตไปยังภาคเกษตร ภาคก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ภาคอุตสาหกรรมการผลิต และภาคการจัดการของเสีย พร้อมเพิ่มวัตถุประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อมที่กว้างกว่าการลดคาร์บอน จึงเป็นโอกาสที่ดีในการปรับปรุงเกณฑ์ DNSH และ MSS ให้มีความรัดกุมยิ่งขึ้น รวมถึงการกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจน และปิดช่องโหว่ที่ภาคประชาสังคมชี้แนะ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการฟอกเขียว และยกระดับมาตรฐานการเงินไทยให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นไปตามแนวทางสากล


แหล่งข้อมูล