แถลงการณ์แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย (Fair Finance Thailand) เรื่อง เรียกร้องความรับผิดชอบของธนาคารเจ้าหนี้ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี
สืบเนื่องจากการเริ่มต้นขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการของโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี ดำเนินการโดยบริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด (“บริษัท”) เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา ท่ามกลางเสียงคัดค้านอย่างต่อเนื่องจากภาคประชาสังคมหลายประเทศ และเพียงไม่กี่เดือนหลังจากที่แม่น้ำโขงแห้งขอดเป็นประวัติการณ์ [1]
โครงการไซยะบุรีเป็นเขื่อนแห่งแรกในลุ่มน้ำโขงตอนล่างและเป็นเขื่อนแรกที่ผ่านกระบวนการปรึกษาหารือล่วงหน้า (Prior Consultation Process) ของคณะกรรมการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission: MRC) ตามสัญญาที่ประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่างสี่ประเทศ ได้แก่ ไทย กัมพูชา เวียดนาม และลาว ลงนามร่วมกัน โครงการดังกล่าวถูกตั้งคำถามและคัดค้านตลอดมาในหลากหลายระดับในช่วงก่อสร้าง ตั้งแต่รัฐบาลระดับชาติคือเวียดนามและกัมพูชา สองประเทศปลายน้ำ เอ็นจีโอข้ามชาติ เอ็นจีโอในประเทศ และชุมชนที่ดำรงชีพริมสองฝั่งโขง รัฐบาลสหรัฐอเมริกา กัมพูชา และเวียดนาม เรียกร้องให้บริษัทชะลอการก่อสร้างออกไป 10 ปี ตามผลการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียโดยคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission - MRC) [2]
เสียงคัดค้านและข้อกังวลเหล่านี้ล้วนเสนอในทิศทางเดียวกันว่า การสร้างเขื่อนไซยะบุรีมีแนวโน้มจะก่อ “หายนะทางระบบนิเวศ” ครั้งใหญ่ งานวิจัยอิสระชิ้นแล้วชิ้นเล่าชี้ว่าไซยะบุรีจะก่อให้เกิดปัญหาข้ามพรมแดนที่เยียวยายากยิ่ง จากการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำในแม่น้ำ กีดกันการไหลของตะกอน และกีดขวางเส้นทางอพยพของปลา ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชากรกว่า 60 ล้านคนที่พึ่งพาแม่น้ำโขงทั้งทางตรงและทางอ้อม [3]
เฉพาะประเด็นเส้นทางอพยพของปลา นักวิทยาศาสตร์หลายคนวิจารณ์ตลอดมาว่า เทคโนโลยีทางปลาผ่านในโครงการนี้ เป็นเทคโนโลยีของอเมริกาและยุโรป ใช้ได้กับปลาเพียง 5-8 ชนิด เช่น ปลาแซลมอน และปลาเทราท์ ไม่เหมาะสมกับแม่น้ำโขงซึ่งมีปลาสำคัญทางเศรษฐกิจมากกว่า 50 ชนิดที่อพยพตามลำน้ำ นอกจากนี้ ปัจจุบันยังไม่มีเทคโนโลยีใดสามารถแก้ปัญหาการอพยพของปลาจากการสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขงได้ [4] แต่บริษัทกลับใช้แม่น้ำโขงเป็น “ห้องทดลอง” เทคโนโลยีใหม่ที่ไม่เคยมีข้อพิสูจน์ถึงประสิทธิผล โดยมีระบบนิเวศของแม่น้ำเป็นเดิมพัน [5]
นอกจากประสิทธิผลของเทคโนโลยีทางปลาผ่านของโครงการจะยังเป็นที่กังขาแล้ว โครงการนี้ยังมีความไม่โปร่งใสและจุดอ่อนในกระบวนการประเมินผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมในหลายประเด็นตลอดมานับจากช่วงก่อสร้าง รายงานการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment: EIA) ของบริษัท (ปี ค.ศ. 2010) ประเมินเพียงผลกระทบในพื้นที่ที่สุ่มเสี่ยงจะเกิดน้ำท่วมจากโครงการ และพื้นที่ปลายน้ำห่างจากที่ตั้งโครงการในรัศมี 10 กิโลเมตรเท่านั้น [6] โดยบริษัทไม่เคยมีการศึกษาผลกระทบข้ามพรมแดนแต่อย่างใด ทั้งยังไม่เคยเปิดเผยรายงาน EIA ดังกล่าวต่อผู้มีส่วนได้เสียในกระบวนการปรึกษาหารือล่วงหน้า ยังมิพักต้องพูดถึงการเปิดเผยต่อสาธารณะ ถึงแม้ว่าการเปิดเผยรายงาน EIA ต่อสาธารณะ รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลค่าใช้จ่ายในการวางมาตรการป้องกันผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม จะเป็นข้อกำหนดในนโยบายการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำที่ยั่งยืน (Policy on Sustainable Hydropower Development: PSHD) ของรัฐบาลลาว (ค.ศ. 2015) และแนวปฏิบัติ (ค.ศ. 2016) [7] นอกจากนี้ บริษัทยังไม่เคยเปิดเผยข้อมูลปลา และข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำเหนือเขื่อนและใต้เขื่อนต่อสาธารณะ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ขาดไม่ได้ในการประเมินประสิทธิผลของเทคโนโลยีทางปลาผ่านและแนวโน้มผลกระทบทั้งต่อชุมชนริมฝั่งโขงและระบบนิเวศแม่น้ำ
แนวโน้มผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน ตลอดจนความไม่โปร่งใสของโครงการดังสรุปโดยสังเขปเบื้องต้นนั้น ล้วนก่อให้เกิดคำถามว่า ธนาคารที่ให้การสนับสนุนทางการเงินกับโครงการทั้งหกแห่ง ซึ่งล้วนแต่เป็นธนาคารสัญชาติไทย มีแนวทางกำกับบริษัทในฐานะลูกหนี้ของธนาคารอย่างไร โดยเฉพาะในเมื่อธนาคารไทยห้าแห่งที่ปล่อยสินเชื่อให้กับโครงการนี้ อันได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารทิสโก้ ล้วนร่วมลงนามใน “แนวทางการดำเนินกิจการธนาคารอย่างยั่งยืนในด้านการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ” (Sustainable Banking Guidelines: Responsible Lending) เมื่อเดือนสิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา [8] เอกสารดังกล่าวระบุว่า ธนาคารที่ร่วมลงนามจะ “หารือกับผู้มีส่วนได้เสียนอกจากหน่วยงานกำกับดูแล ผู้ถือหุ้น และลูกค้า เพื่อประเมินความเสี่ยงด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล และประเมินแนวโน้มผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร” และ “จะหารือกับลูกค้าในเชิงรุก เพื่อสนับสนุนการลดผลกระทบเชิงลบและปรับปรุงผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของลูกค้า”
นอกจากนี้ ธนาคารสองแห่งคือ ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกสิกรไทย ยังประกาศรับหลักการชี้แนะเรื่องธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติ (United Nations Guiding Principles on Business and Human Rights: UNGP) [9] ซึ่งสาระสำคัญของหลักการชี้แนะดังกล่าวอยู่ที่การวางมาตรการที่จะแสดงให้เห็นว่าเคารพในสิทธิมนุษยชนตลอดห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงการมีกลไกรับเรื่องร้องเรียน และกลไกเยียวยาที่เหมาะสม
แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย (Fair Finance Thailand, เว็บไซต์ www.fairfinancethailand.org) และองค์กรร่วมลงนามดังรายชื่อท้ายแถลงการณ์ฉบับนี้ จึงมีข้อเรียกร้องดังต่อไปนี้ต่อธนาคารไทยทั้งหกแห่งที่ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ บริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด อันได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM) และธนาคารทิสโก้
- เร่งรัดให้บริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด เปิดเผยข้อมูลสำคัญดังต่อไปนี้ต่อสาธารณะ ก่อนการขอเบิกเงินกู้ (drawdown) งวดต่อไป
- ข้อมูลปลาผ่านทางปลาผ่านของบริษัท (ชนิดพันธุ์ จำนวน) ตั้งแต่เดือนเมษายน 2562 ถึงปัจจุบัน
- ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำเหนือเขื่อนและใต้เขื่อน ตั้งแต่เดือนเมษายน 2562 ถึงปัจจุบัน เนื่องจากบริษัทได้เริ่มขายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยอย่างไม่เป็นทางการในเดือนเมษายน 2562 ที่ผ่านมา [10]
- ข้อมูลกลไกรับเรื่องร้องเรียน และมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการ
- ประกาศรับหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (United Nations Guiding Principles on Business and Human Rights: UNGP) ขององค์การสหประชาชาติ และกำหนดให้บริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด ในฐานะลูกหนี้ของธนาคาร ประกาศรับหลักการดังกล่าวด้วย
- เปิดช่องทางรับเรื่องร้องเรียนจากผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการไซยะบุรี ตามหลักการชี้แนะ UNGP
- ประกาศว่าจะไม่ให้การสนับสนุนทางการเงินใดๆ แก่โครงการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำที่สร้างในแม่น้ำสายหลัก (mainstem) ของลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคต (exclusion list) อย่างน้อยเป็นเวลา 10 ปี ตามข้อเสนอของผู้มีส่วนได้เสียในกระบวนการปรึกษาหารือล่วงหน้าของคณะกรรมการแม่น้ำโขง
- ประกาศรับชุดหลักการอีเควเตอร์ (Equator Principles) มาตรฐานสากลของการปล่อยสินเชื่อโครงการขนาดใหญ่
แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย คาดหวังและเชื่อมั่นว่า การดำเนินการตามข้อเรียกร้องทั้งห้าข้อข้างต้นนั้น นอกจากจะช่วยให้ธนาคารรับมือกับความเสี่ยงทางสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social, Governance: ESG risks) อันอาจเกิดจากโครงการไซยะบุรีในอนาคตได้แล้ว จะยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบทางสังคม และเปิดศักราชใหม่ให้กับวงการธนาคารพาณิชย์ไทย ให้ก้าวเข้าสู่ ‘การธนาคารที่ยั่งยืน’ อย่างเป็นรูปธรรม สมดังเจตนารมณ์ที่ธนาคารแทบทุกแห่งได้ประกาศต่อสาธารณะ
แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย
7 พฤศจิกายน 2562
เกี่ยวกับ Fair Finance Thailand
Fair Finance Thailand (แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย เว็บไซต์ www.fairfinancethailand.org) ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2561 สมาชิกประกอบด้วยบริษัทวิจัย 1 บริษัท และองค์กรภาคประชาสังคม 4 องค์กร ได้แก่ บริษัท ป่าสาละ จำกัด มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มูลนิธินิติธรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม International Rivers และมูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH) ที่มีความสนใจร่วมกันในการติดตามผลกระทบและความท้าทายของธุรกิจธนาคาร และประสงค์จะร่วมกันผลักดันภาคธนาคารไทยให้ก้าวสู่แนวคิดและวิถีปฏิบัติของ “การธนาคารที่ยั่งยืน” (sustainable banking) อย่างแท้จริง ผ่านการนำมาตรฐาน Fair Finance Guide International (แนวปฏิบัติของแนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมนานาชาติ เว็บไซต์ www.fairfinanceguide.org) มาใช้ในการประเมินนโยบายด้านต่างๆ ของธนาคารพาณิชย์ไทยที่เปิดเผยสู่สาธารณะ เริ่มจากปี พ.ศ. 2562 เป็นปีแรก
ผู้ประสานงานโครงการ: จุลณรงค์ วรรณโกวิท
เบอร์ 091-884-3988
อีเมล Julnarong_123@hotmail.com
รายชื่อองค์กรร่วมลงนาม
- กลุ่มเสรีภาพแม่น้ำโขง (The Mekong Butterfly)
- เสมสิกขาลัย
- คณะทำงานติดตามความรับผิดชอบของการลงทุนข้ามพรมแดน (ETOs Watch Coalition)
- มูลนิธิเพื่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
- เอิร์ทไรท์ อินเตอร์เนชั่นแนล (EarthRights International)
- กลุ่มฮักแม่น้ำเลย
- กลุ่มฮักเชียงคาน
- เครือข่ายแม่น้ำประเทศไทย
- เครือข่ายคนฮักน้ำโขง
- สมาคมเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนลุ่มน้ำโขง 7 จังหวัดภาคอีสาน
- เครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง
- กลุ่มรักษ์เชียงของ
- สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต
- สมาคมสถาบันชุมชนลุ่มน้ำโขง
- เครือข่ายชุมชนคนฮักน้ำของ จ.อุบลราชธานี
- มูลนิธิเพื่อการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ (ประเทศไทย)
- กลุ่มนิเวศวัฒนธรรมศึกษา
- กลุ่มรักษ์น้ำอูน
- กลุ่มอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ (siamensis.org)
- เครือข่ายติดตามแผนพัฒนาจังหวัดสตูล
- เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่
- เครือข่ายรักษ์ชุมพร
- เครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม (เครือข่าย We Fair)
- โครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่
- มูลนิธิภาคใต้สีเขียว
- มูลนิธิโลกสีเขียว
- มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน (ศขช.)
- ศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น
- สมาคมส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม
- ดร.ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
- ธารา บัวคำศรี กรีนพีซ ประเทศไทย
- วรวรรณ ศุกระฤกษ์ นักวิจัยและรณรงค์
เอกสารอ้างอิง
[1] Mekong River Commission (2019) Mekong water levels reach low record, Media Release, 18 กรกฎาคม 2562. ดาวน์โหลดได้จาก http://www.mrcmekong.org/news-and-events/news/mekong-water-levels-reach-low-record/
[2] Mekong River Commission (2011) Prior consultation project review report Volume 2: Stakeholder Consultations related to the proposed Xayaburi dam project ดาวน์โหลดได้จาก http://www.mrcmekong.org/assets/Consultations/2010-Xayaburi/2011-03-24-Report-on-Stakeholder-Consultation-on-Xayaburi.pdf, หน้า 35.
[3] Herbertson (2012) The Xayaburi Dam: Threatening Food Security in the Mekong, 11 กันยายน 2555 ดาวน์โหลดได้จาก https://www.internationalrivers.org/resources/the-xayaburi-dam-threatening-food-security-in-the-mekong-7675
[4] International Rivers (2011) Sidestepping Science: Review of the Pöyry Report on the Xayaburi Dam, พฤศจิกายน 2554, ดาวน์โหลดได้จาก https://www.internationalrivers.org/sites/default/files/attached-files/intl_rivers_analysis_of_poyry_xayaburi_report_nov_2011.pdf, หน้า 4.
[5] International Centre for Environmental Management (2010) Strategic Environmental Assessment of Hydropower in the Mainstream, หน้า 24.
[6] Hirsch, P. (2011) Review of Xayaburi Dam EIA incorporation into regional consultation on impacts. Available at: https://www.internationalrivers.org/sites/default/files/attached-files/hirsch_xayabouri_dam_esia_consultation_process.pdf
[7] รัฐบาล สปป. ลาว, Policy on Sustainable Hydropower Development in Lao PDR (PSHD), 2015; และ 2016 Policy Guidelines for the Implementation of Policy on Sustainable Hydropower in Lao PDR (ดูหัวข้อ 5.10 Information Disclosure, หน้า 13).
[8] ดาวน์โหลดได้จาก https://www.tba.or.th/wp-content/uploads/2019/08/Guidelines-ResponsibleLending.pdf
[9] นโยบายสิทธิมนุษยชนของธนาคารไทยพาณิชย์ https://www.scb.co.th/content/dam/scb/about-us/sustainability/documents/th-human-right-policy.pdf และดูประกอบ: ผลการประเมินนโยบายธนาคารด้านสิทธิมนุษยชน โดย Fair Finance Thailand https://fairfinancethailand.org/bank-guide/topics/human-rights/
[10] สำนักข่าวอินโฟเควสท์, “CKP เริ่ม COD โรงไฟฟ้าไซยะบุรี 1,220 MW วันนี้ รับทรัพย์เต็มหลังลงทุน 1.35 แสนลบ.” 29 ตุลาคม 2562 เข้าถึงจาก https://www.ryt9.com/s/iq05/3059961