สรุปเสวนา “ถอดรหัสความเสี่ยงและผลกระทบจากการแข่งขันระดับโลกต่อแรร์เอิร์ธ ในการเปลี่ยนผ่านพลังงานของเอเชีย”

31 ตุลาคม 2568

แร่ธาตุสำคัญ (critical minerals) และ แรร์เอิร์ธ (rare earth) กลายเป็นจุดสนใจของสังคมไทยในทันที หลังจากที่ทำเนียบขาวเปิดเผยรายละเอียดบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ว่าด้วยความร่วมมือในการกระจายห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญของโลกและการส่งเสริมการลงทุน

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ แรร์เอิร์ธได้กลายมาเป็นทรัพยากรที่มีศักยภาพสูงทางเศรษฐกิจและมีความต้องการในตลาดโลกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การขยายตัวด้านอุปสงค์ที่รวดเร็วส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่หลายประเทศต่างเร่งเดินหน้าเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ด้วยเหตุนี้เอง ความต้องการแรร์เอิร์ธซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในห่วงโซ่อุปทานชิ้นส่วนอุปกรณ์เทคโนโลยีสะอาด เช่น มอเตอร์ของรถยนต์ไฟฟ้า หรือเครื่องผลิตไฟฟ้ากังหันลม จึงนำไปสู่การแย่งชิงทรัพยากรในเวทีระดับโลก การร่วมลงนามระหว่างไทยและสหรัฐฯ ก็คล้ายกับประตูด่านแรกที่จะพาไทยลงไปเป็นอีกหนึ่งผู้เล่น ในสนามแข่งแย่งแรร์เอิร์ธครั้งนี้ด้วย

หลายพื้นที่มีการขุดเจาะและสกัดแร่ธาตุสำคัญกลับต้องเผชิญความเสี่ยงทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยเฉพาะคนในพื้นที่ บางแห่งถูกเรียกว่า ‘พื้นที่บูชายัญ’ (sacrifice zone) เพราะเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงถาวร แต่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่กลับไปอยู่ในมือของคนอื่นหรือส่วนรวม ทำให้เกิดคำถามว่าการขุดเจาะและสกัดแร่ธาตุเพื่อการเปลี่ยนผ่านพลังงานนั้น ‘ยุติธรรม’ หรือไม่

นอกจากนี้ ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นอาจขยายผลและก่อให้เกิดผลกระทบข้ามพรมแดน เช่น การสะสมมลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขง ซึ่งมีต้นกำเนิดจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในเมียนมา ซึ่งในกรณีนี้แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย (Fair Finance Thailand – FFT) ได้ส่งจดหมายถึงธนาคารเพื่อแสดงข้อกังวล เนื่องจากสารพิษที่ตกค้างจะทวีความรุนแรงขึ้น หากธนาคารพิจารณาให้การสนับสนุนโครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำปากแบง โดยไม่มีการประเมินผลกระทบที่รอบด้าน

ความกังวลต่อการเสาะหาแรร์เอิร์ธในเอเชียเป็นประเด็นที่แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย (FFT) และ แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมเอเชีย (Fair Finance Asia – FFT) ให้ความสนใจร่วมกัน จนต่อยอดมาเป็นการจัดเสวนาในหัวข้อ “ถอดรหัสความเสี่ยงและผลกระทบจากการแข่งขันระดับโลกต่อแรร์เอิร์ธ ในการเปลี่ยนผ่านพลังงานของเอเชียโดยมีผู้ร่วมเสวนาทั้งตัวแทนจากชนพื้นเมืองที่ได้รับผลกระทบ ไปจนถึงองค์กรระดับนานาชาติมาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ได้แก่

ดร. อัมบียา อับดุลลาห์, นักวิจัยอาวุโส ศูนย์พลังงานอาเซียน (ASEAN Centre for Energy)

• โรบี ฮาลิป, ตัวแทนชนพื้นเมือง และทีมงาน Rights Energy Partnership with Indigenous Peoples

ไชตรา นายัก, ผู้จัดการโครงการอาวุโส กลุ่มนักลงทุนเอเชียเพื่อแก้ไขการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Asia Investor Group on Climate Change – AIGCC)

ศุภณัฐ แก้วเล็ก, นักวิชาการยุติธรรมชำนาญการ กระทรวงยุติธรรม

• เอริค แลม, ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank – ADB)

• เวโรนิกา ซาโน, ที่ปรึกษาโครงการระดับภูมิภาคอุตสาหกรรมการสกัดแร่ Oxfam South Africa

ประเด็นแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นจะว่าด้วยประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับสิ่งแวดล้อมและชุมชนในพื้นที่ บทบาทของสถาบันการเงินและองค์กรนานาชาติ รวมถึงหนทางที่ห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญจะไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงและนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยุติธรรม (just energy transition)

รับชมเทปบันทึกงานเสวนาได้ทาง

 

โรบี ฮาลิป, ตัวแทนชนพื้นเมือง และทีมงาน Rights Energy Partnership with Indigenous Peoples

 

เสียงจากชุมชน: ผลกระทบและความแตกแยกที่ฝังรากลึก

โรบี ฮาลิป ตัวแทนชนพื้นเมืองที่ทำงานร่วมกับ Rights Energy Partnership with Indigenous Peoples เล่าถึงผลกระทบที่เธอเห็นมากับตาในฐานะชนพื้นเมืองที่ใช้ชีวิตอยู่ในบริเวณแหล่งทำเหมือง เธอกล่าวว่าสิ่งที่ต้องพิจารณาจริงๆ ไม่ใช่แค่การเป็นชนพื้นเมือง การย้ายถิ่นที่อยู่ หรือการสูญเสียวิถีชีวิต แต่คือความแตกแยกที่เกิดขึ้นภายในชุมชน

ความแตกแยกดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ ฉันทานุมัติที่ได้รับการบอกแจ้ง รับรู้ล่วงหน้า และเป็นอิสระ (Free, Prior, and Informed Consent – FPIC) ถูกบิดเบือนและใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหาผลประโยชน์ ความแตกแยกนี้ไม่สามารถเยียวยาได้ และไปบ่อนทำลายความสามัคคีในชุมชน โรบีบอกว่าเธอเคยเห็นเหตุการณ์ที่คนในชุมชนถูกแบ่งแยก ถูกครอบงำ ถูกข่มขู่และคุกคามให้ตอบตกลงกับโครงการมาแล้ว แม้แต่เผ่าพื้นเมืองที่ไม่ติดต่อกับโลกภายนอกก็ไม่ได้รับการยกเว้น ยกตัวอย่างเช่น ชนเผ่าฮงกานา มันยาวา ในอินโดนีเซีย ที่ถูกบังคับให้ติดต่อกับคนนอกชุมชน

โรบียังชี้ให้เห็นถึงผลกระทบสำคัญอีกประการหนึ่ง นั่นคือ การทำลายพื้นที่ที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรม เช่น สถานที่ประกอบพิธีกรรม หรือสุสาน ที่ล้วนเชื่อมโยงลึกซึ้งกับอัตลักษณ์ของชนพื้นเมือง การหายไปของพื้นที่เหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะทำให้การสืบสานวัฒนธรรมและประเพณีของพวกเขาขาดตอนและอาจสูญหาย

อย่างไรก็ตาม โรบีย้ำชัดเจนว่าเธอไม่ได้ต่อต้านการพัฒนา และมองว่าการเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาดเป็นเรื่องจำเป็น แต่ชนพื้นเมืองต้องเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการตัดสินใจ ต้องมีการนำเครื่องมือหรือมาตรการคุ้มครองระดับนานาชาติมาใช้ เพื่อผลักดันให้ธนาคารซึ่งเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนร่วมรับผิดชอบ ชุมชนต้องมีส่วนร่วมตามหลักการ FPIC ตั้งแต่เริ่มต้น และทั้งหมดนี้ต้องไม่ใช่แค่สิ่งที่เกิดขึ้นบนหน้ากระดาษ แต่ต้องนำไปสู่การปฏิบัติจริง ชนพื้นเมืองต้องไม่ใช่เครื่องสังเวยให้กับการเปลี่ยนผ่านพลังงาน แต่คือ ‘หุ้นส่วน’ ที่จะเป็นพันธมิตรโดยตรงกับภาครัฐและภาคธุรกิจ

“ชนพื้นเมืองไม่ควรเป็นเพียงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ชนพื้นเมืองคือผู้ถือสิทธิ ผู้เสนอทางออก และผู้พิทักษ์ดูแลทรัพยากร ดังนั้นอย่ามองเราเป็นแค่หนึ่งในผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั่วไป การมีส่วนร่วมต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานสิทธิ เรามีสิ่งที่ต้องแลกมากมาย ทั้งที่ดิน ชีวิต และอนาคตของเรา" โรบี ฮาลิป กล่าว

 

[จากบนลงล่าง] เบอร์นาเด็ต วิคตอริโอ (Fair Finance Asia), เอริค แลม (Asian Development Bank), เวโรนิกา ซาโน (Oxfam South Africa)

 

แนวทางและความช่วยเหลือของธนาคารพัฒนาเอเชีย

เอริค แลม ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) พูดถึงทิศทางของ ADB ที่กำลังให้ความสำคัญกับ ห่วงโซ่คุณค่าแร่ธาตุสำคัญต่อการผลิต (Critical Minerals to Manufacturing Value Chains – CMM) ซึ่งจะพัฒนาไปเป็นมาตรการคุ้มครอง และความร่วมมือระดับภูมิภาค

โดย ADB มีแนวทางผลักดันทั้งหมด 6 ด้าน

  • เสริมสร้างความร่วมมือและการรวมกลุ่มในระดับภูมิภาค ผ่านการรวมกลุ่มแบบเปิด (open regionalism) และการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ
  • เสริมสร้างศักยภาพของภาครัฐด้วยนโยบาย ขีดความสามารถ เครื่องมือ และทรัพยากร ในการบริหารจัดการการพัฒนาห่วงโซ่คุณค่าแร่ธาตุสำคัญต่อการผลิตอย่างรับผิดชอบและยั่งยืน
  • ส่งเสริมแนวปฏิบัติสากลที่ดีด้าน ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) และสนับสนุนการพัฒนาห่วงโซ่คุณค่าแร่ธาตุสำคัญต่อการผลิตที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำ
  • ลดความเสี่ยงและกระตุ้นการลงทุนของภาคเอกชน เพื่อพัฒนาห่วงโซ่คุณค่าแร่ธาตุสำคัญต่อการผลิต โดยใช้แนวทางการทำงานครอบคลุมทุกภาคส่วนของธนาคาร
  • ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและนวัตกรรม รวมถึงเทคโนโลยีดิจิทัล ที่สนับสนุนการพัฒนาห่วงโซ่คุณค่าแร่ธาตุสำคัญต่อการผลิตอย่างรับผิดชอบและยั่งยืน
  • ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่นำไปสู่การรีไซเคิลและความเป็นวงจรที่มากขึ้น

นอกจากนี้ ADB ยังมี กรอบการทำงานด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม (Environmental and Social Framework) ซึ่งได้รับการรับรองในปี 2567 และจะมีผลบังคับใช้ในปี 2568 โดยส่วนหนึ่งของกรอบการทำงานย้ำว่า โครงการทั้งหมดจะต้องให้ชุมชนหรือคนพื้นเมืองมีส่วนร่วมตามหลักการ FPIC ในกรอบการทำงานยังระบุถึงมาตรฐานเกี่ยวกับแรงงาน สภาพการทำงาน และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

ในส่วนของความร่วมมือระดับภูมิภาค เอริคชี้ว่า ADB มีตำแหน่งที่โดดเด่นในการช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน (ASEAN) ไปจนถึงภาคเอกชน เพื่อช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนา แบ่งปันแนวปฏิบัติที่ดีและเป็นสากล และเป็นตัวกลางนำประเทศต่างๆ มาร่วมกันเพื่อส่งเสริมมาตรฐาน ESG

เมื่อชนพื้นเมืองเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ พวกเขาคือหุ้นส่วน และพวกเขาสามารถช่วยให้เกิดการยอมรับของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและทำให้โครงการดีขึ้นอย่างแท้จริง การทำเหมืองไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ความเฟื่องฟูของแร่ธาตุสำคัญดึงดูดผู้คนจำนวนมากเข้าสู่ภาคส่วนนี้ ดังนั้นเราต้องทำมันให้ดีเอริค แลม กล่าว

 

ไชตรา นายัก, ผู้จัดการโครงการอาวุโส กลุ่มนักลงทุนเอเชียเพื่อแก้ไขการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Asia Investor Group on Climate Change – AIGCC)

 

ความเสี่ยงและผลร้ายต่อคนในพื้นที่ที่นักลงทุนต้องมองเห็น

ไชตรา นายัก, ผู้จัดการโครงการอาวุโส กลุ่มนักลงทุนเอเชียเพื่อแก้ไขการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (AIGCC) มองว่าความเสี่ยงในการลงทุนกับแร่ธาตุสำคัญยังถือเป็นเรื่องใหม่ ภารกิจที่เป็นหัวใจหลักของ AIGCC คือการนำหลักฐานและผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงกับชุมชนมาสื่อสารกับนักลงทุนให้ได้

ไชตรายกตัวอย่างการพาผู้จัดการสินทรัพย์และเจ้าของสินทรัพย์มาใกล้ชิดกับ ‘บริบทของชนพื้นเมืองมากขึ้น ด้วยกรณีของการประชุมบริษัท Morowali Industrial Park (IMIP) และ Weda Bay Industrial Park (IWIP) ในอินโดนีเซีย ข้อความที่สะเทือนใจนักลงทุนคือการที่คนในพื้นที่บอกว่า พวกเขาไม่เข้าใจประโยชน์ของแร่นิกเกิลเลย รถยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่ความสะดวกสบายที่พวกเขาจะเข้าถึงได้ นี่คือตัวอย่างที่แสดงถึงความย้อนแยงในภูมิภาคที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ เธอกล่าวต่อว่าแนวปฏิบัติแรกสุดจึงต้องเป็นการจัดสรรผลประโยชน์เช่นหักเปอร์เช็นต์รายได้ให้กับคนในพื้นที่

ไชตรายังกล่าวเสริมถึงรายงาน ‘Place-Based Just Transition’ ที่ AIGCC จัดทำขึ้น เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านพลังที่ยุติธรรมที่อิงตามบริบทและพื้นที่ หมายความว่าการเปลี่ยนผ่านพลังงานทุกครั้งต้องหยั่งรากลึกและปรับเปลี่ยนให้เข้ากับท้องถิ่นนั้นๆ ถึงจะเป็นการเปลี่ยนผ่านพลังที่ยุติธรรมอย่างแท้จริง และคาดหวังให้นักลงทุนคือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มาช่วยรับความเสี่ยง

 

ดร. อัมบียา อับดุลลาห์, นักวิจัยอาวุโส ศูนย์พลังงานอาเซียน (ASEAN Centre for Energy)

 

ASEAN และคำมั่นสัญญาระดับภูมิภาค

ดร. อัมบียา อับดุลลาห์ นักวิจัยอาวุโส ศูนย์พลังงานอาเซียน (ASEAN Centre for Energy) พูดถึง แผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านพลังงานของอาเซียนปี 2569-2573 (ASEAN Plan of Action for Energy Cooperation 2026-2030)’ หรือ APAEC ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญกับประเทศสมาชิกอาเซียนในอีกห้าปีข้างหน้า

APAEC พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด “การขับเคลื่อนความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานและการเร่งรัดการลดคาร์บอนเพื่อการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยุติธรรมและครอบคลุม” แผนฯ นี้จะถูกใช้เป็นเอกสารอ้างอิงหลักเพื่อกำหนดแนวทางความร่วมมือด้านพลังงาน ซึ่งจะรับรองโดยรัฐมนตรีพลังงานของ 10 ประเทศสมาชิก หมายความว่าทุกประเทศในอาเซียนนั้นรับปากว่าจะจริงจังกับการเปลี่ยนผ่านพลังงานตามแนวทางของ APAEC ฉบับใหม่

อัมบียาอธิบายต่อว่า APAEC จะประกอบด้วย 3 เสาหลักที่เกี่ยวข้องกับภาคพลังงานในอาเซียน ได้แก่

  • เสาหลักที่ 1 ‘ความมั่นคงและความยืดหยุ่นด้านพลังงาน ว่าด้วยการปรับปรุงระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้ทันสมัย, การบรรลุเป้าหมายโครงการโครงข่ายไฟฟ้าอาเซียน (ASEAN Power Grid – APG) และการซื้อขายไฟฟ้าพหุภาคี, ความมั่นคงด้านอุปทานก๊าซ, และการขนส่งคาร์บอนข้ามพรมแดน
  • เสาหลักที่ 2 ‘การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยุติธรรมและครอบคลุม ว่าด้วยการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน, การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรม, ระบบขนส่งที่ยั่งยืนและการเปลี่ยนผ่านเชื้อเพลิง, เทคโนโลยีลดคาร์บอน, การเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิล, และพลังงานนิวเคลียร์
  • เสาหลักที่ 3 ‘ประเด็นเฉพาะภาคส่วน ว่าด้วยประเด็น เช่น ห่วงโซ่อุปทานและแร่ธาตุสำคัญ, เศรษฐกิจหมุนเวียน, ตลาดคาร์บอน, ความเท่าเทียมทางเพศ ความพิการ และการอยู่ร่วมกันทางสังคม (Gender Equality, Disability, and Social Inclusion – GEDSI)

การนำไปปฏิบัติคือสิ่งสำคัญ เราต้องแน่ใจว่าในห้าปีข้างหน้านี้เราจะปฏิบัติตามหัวข้อหลักที่เราตกลงกันไว้ และเราต้องการความเป็นหุ้นส่วนจากทุกคน โดยเฉพาะชนพื้นเมือง เพราะเราเรียนรู้ว่ากระบวนการกำหนดนโยบายนั้นมักมาจากบนลงล่าง แต่เพื่อให้แน่ใจว่าการนำไปปฏิบัติจะประสบความสำเร็จ เราก็ต้องการความร่วมมือจากสถาบันการเงิน ชนพื้นเมือง และประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ด้วย" ดร. อัมบียา อับดุลลาห์ กล่าว

 

ศุภณัฐ แก้วเล็ก, นักวิชาการยุติธรรมชำนาญการ กระทรวงยุติธรรม

 

แนวทางของประเทศไทยและประเทศสมาชิกอาเซียน กับความรับผิดชอบของภาคธุรกิจ

ศุภณัฐ แก้วเล็ก นักวิชาการยุติธรรมชำนาญการ กระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า รัฐบาลของประเทศอาเซียน รวมถึงประเทศไทย ควรทำสิ่งที่เรียกว่า 3P นั่นคือ

  • 1. นโยบาย (Policy)

รัฐบาลควรพัฒนาและนำกฎหมายหรือนโยบายเกี่ยวกับธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนมาใช้ เพื่อให้แน่ใจว่าองค์กรธุรกิจจะเคารพสิทธิมนุษยชนตลอดกิจกรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้น โดยที่กฎหมายเหล่านี้ต้องสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เช่น หลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Guiding Principles on Business and Human Rights – UNGPs) เพื่อให้แน่ใจว่ากฎหมายหรือนโยบายสะท้อนถึงความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

ศุภณัฐยกตัวอย่าง แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (Thailand’s National Adaptation Plan – NAP) ที่ผ่านการปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายครั้ง และได้รับผลตอบรับที่ดี

  • 2. การปฏิบัติ (Practice)

ในส่วนนี้ศุภณัฐเน้นย้ำไปที่การดำเนินงานของรัฐบาลเป็นหลัก โดยอันดับแรก รัฐบาลควรทำหน้าที่เป็นต้นแบบสำหรับการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบ ยกตัวอย่างเช่น รัฐวิสาหกิจควรดำเนินงานโดยเคารพสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม หรือการมีกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่โปร่งใส

อันดับที่สอง รัฐบาลควรอำนวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจดำเนินกิจการอย่างมีความรับผิดชอบ สร้างสิทธิประโยชน์และแรงจูงใจสำหรับองค์กรที่เคารพสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม เช่น การลดหย่อนภาษี การเข้าถึงเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และการได้เข้าไปอยู่รายชื่อผู้ที่ได้รับสิทธิพิเศษในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ

  • 3. การเป็นหุ้นส่วน (Partnership)

สำหรับส่วนสุดท้าย ศุภณัฐกล่าวว่าความพยายามของรัฐบาลในการขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบจะไม่ประสบความสำเร็จหากขาดความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ดังนั้น รัฐบาลจึงควรมีส่วนในการสร้างความตระหนักรู้และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการร่วมมือ เช่นการสนับสนุนเสรีภาพในการแสดงออกของชุมชนท้องถิ่นหรือประชาชนทั่วไป ผ่านการออกกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก (Anti-SLAPP law)

กลับมาสู่บริบทของประเทศไทย ขณะนี้ประเทศไทยกำลังอยู่ในขั้นหารือเพื่อจัดทำร่างกรอบกฎหมายระหว่างประเทศและการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้านภาคบังคับ (Mandatory Human Rights Due Diligence – mHRDD) ศุภณัฐเล่าเสริมว่า กฎหมายนี้จะกำหนดให้บริษัทขนาดใหญ่ต้องใช้ HRDD เพื่อดำเนินธุรกิจทั้งในประเทศและการลงทุนในประเทศอื่น ทั้งนี้กระบวนการร่างอาจต้องใช้เวลานานเนื่องจากผลตอบรับที่เกิดขึ้นยังไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยภาคประชาสังคมให้การสนับสนุน ทว่ามีการคัดค้านอย่างหนักจากภาคธุรกิจ

"การเป็นหุ้นส่วนคือกุญแจสำคัญสำหรับการเปลี่ยนผ่านที่ยั่งยืน และเราต้องร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด เพื่อให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนผ่านพลังงานจะยั่งยืน" ศุภณัฐ แก้วเล็ก กล่าว

หนทางในอนาคต: ตัวอย่างความสำเร็จจากแอฟริกา

เวโรนิกา ซาโน ที่ปรึกษาโครงการระดับภูมิภาคอุตสาหกรรมการสกัดแร่ Oxfam South Africa ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในแอฟริกา และเน้นย้ำถึงกลไกและข้อเรียกร้องที่ทำให้โครงการเหมืองแร่ธาตุสำคัญมีความรับผิดชอบ และได้รับเงินทุนจากสถาบันการเงิน

ในแอฟริกา ธนาคารเพื่อการพัฒนาแอฟริกา (African Development Bank – AfDB) มีบทบาทอย่างมากในฐานะผู้นำการสนับสนุนเทคโนโลยีพลังงานสีเขียว และมีส่วนช่วยในการพัฒนา ยุทธศาสตร์แร่ธาตุสีเขียวของแอฟริกา (Africa`s Green Minerals Strategy – AGMS) ซึ่งจุดยืนสำคัญคือการรับรองว่า การให้เงินทุนจะต้องกำหนดให้มีการประเมินผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ครอบคลุม รวมถึงการนำหลักการ FPIC มาใช้อย่างจริงจัง โดยทั้งหมดนี้ถูกบันทึกไว้ในระบบข้อมูลเชื่อมโยงถึงกัน

เวโรนิกายกตัวอย่างประเทศ มาลาวี ที่บังคับให้มีข้อตกลงการพัฒนาชุมชน (Community Development Agreements) เพื่อให้ชุมชนได้ประโยชน์จากเหมือง พร้อมกับกลไกรับเรื่องร้องเรียน หรือโครงการใหญ่ เช่น Lobito Corridor ที่สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และ AfDB ร่วมมือกันผลักดันการใช้มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมระดับสูง เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและความรับผิดชอบ

สิ่งที่จำเป็นคือการวางบทบาทของชุมชนและภาคประชาสังคม ให้เป็นผู้มีส่วนร่วมในกระบวนการลงทุนทั้งหมด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการประสานความร่วมมือที่ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสถาบันการเงิน

เวโรนิกา ซาโน กล่าวเพื่อย้ำอีกครั้งว่า ภาคประชาสังคมและชุมชนพื้นเมืองคือหัวใจหลักของการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยุติธรรม ท่ามกลางการแข่งขันแย่งชิงแร่สำคัญและแรร์เอิร์ธในระดับโลก


แหล่งข้อมูล