สรุปเสวนา “ถอดรหัสความเสี่ยงและผลกระทบจากการแข่งขันระดับโลกต่อแรร์เอิร์ธ ในการเปลี่ยนผ่านพลังงานของเอเชีย”
แร่ธาตุสำคัญ (critical minerals) และ แรร์เอิร์ธ (rare earth) กลายเป็นจุดสนใจของสังคมไทยในทันที หลังจากที่ทำเนียบขาวเปิดเผยรายละเอียดบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ว่าด้วยความร่วมมือในการกระจายห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญของโลกและการส่งเสริมการลงทุน
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ แรร์เอิร์ธได้กลายมาเป็นทรัพยากรที่มีศักยภาพสูงทางเศรษฐกิจและมีความต้องการในตลาดโลกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การขยายตัวด้านอุปสงค์ที่รวดเร็วส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่หลายประเทศต่างเร่งเดินหน้าเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ด้วยเหตุนี้เอง ความต้องการแรร์เอิร์ธซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในห่วงโซ่อุปทานชิ้นส่วนอุปกรณ์เทคโนโลยีสะอาด เช่น มอเตอร์ของรถยนต์ไฟฟ้า หรือเครื่องผลิตไฟฟ้ากังหันลม จึงนำไปสู่การแย่งชิงทรัพยากรในเวทีระดับโลก การร่วมลงนามระหว่างไทยและสหรัฐฯ ก็คล้ายกับประตูด่านแรกที่จะพาไทยลงไปเป็นอีกหนึ่งผู้เล่น ในสนามแข่งแย่งแรร์เอิร์ธครั้งนี้ด้วย
หลายพื้นที่มีการขุดเจาะและสกัดแร่ธาตุสำคัญกลับต้องเผชิญความเสี่ยงทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยเฉพาะคนในพื้นที่ บางแห่งถูกเรียกว่า ‘พื้นที่บูชายัญ’ (sacrifice zone) เพราะเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงถาวร แต่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่กลับไปอยู่ในมือของคนอื่นหรือส่วนรวม ทำให้เกิดคำถามว่าการขุดเจาะและสกัดแร่ธาตุเพื่อการเปลี่ยนผ่านพลังงานนั้น ‘ยุติธรรม’ หรือไม่
นอกจากนี้ ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นอาจขยายผลและก่อให้เกิดผลกระทบข้ามพรมแดน เช่น การสะสมมลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขง ซึ่งมีต้นกำเนิดจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในเมียนมา ซึ่งในกรณีนี้แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย (Fair Finance Thailand – FFT) ได้ส่งจดหมายถึงธนาคารเพื่อแสดงข้อกังวล เนื่องจากสารพิษที่ตกค้างจะทวีความรุนแรงขึ้น หากธนาคารพิจารณาให้การสนับสนุนโครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำปากแบง โดยไม่มีการประเมินผลกระทบที่รอบด้าน

ความกังวลต่อการเสาะหาแรร์เอิร์ธในเอเชียเป็นประเด็นที่แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย (FFT) และ แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมเอเชีย (Fair Finance Asia – FFT) ให้ความสนใจร่วมกัน จนต่อยอดมาเป็นการจัดเสวนาในหัวข้อ “ถอดรหัสความเสี่ยงและผลกระทบจากการแข่งขันระดับโลกต่อแรร์เอิร์ธ ในการเปลี่ยนผ่านพลังงานของเอเชีย” โดยมีผู้ร่วมเสวนาทั้งตัวแทนจากชนพื้นเมืองที่ได้รับผลกระทบ ไปจนถึงองค์กรระดับนานาชาติมาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ได้แก่
• ดร. อัมบียา อับดุลลาห์, นักวิจัยอาวุโส ศูนย์พลังงานอาเซียน (ASEAN Centre for Energy)
• โรบี ฮาลิป, ตัวแทนชนพื้นเมือง และทีมงาน Rights Energy Partnership with Indigenous Peoples
• ไชตรา นายัก, ผู้จัดการโครงการอาวุโส กลุ่มนักลงทุนเอเชียเพื่อแก้ไขการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Asia Investor Group on Climate Change – AIGCC)
• ศุภณัฐ แก้วเล็ก, นักวิชาการยุติธรรมชำนาญการ กระทรวงยุติธรรม
• เอริค แลม, ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank – ADB)
• เวโรนิกา ซาโน, ที่ปรึกษาโครงการระดับภูมิภาคอุตสาหกรรมการสกัดแร่ Oxfam South Africa
ประเด็นแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นจะว่าด้วยประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับสิ่งแวดล้อมและชุมชนในพื้นที่ บทบาทของสถาบันการเงินและองค์กรนานาชาติ รวมถึงหนทางที่ห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญจะไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงและนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยุติธรรม (just energy transition)
รับชมเทปบันทึกงานเสวนาได้ทาง
เสียงจากชุมชน: ผลกระทบและความแตกแยกที่ฝังรากลึก
โรบี ฮาลิป ตัวแทนชนพื้นเมืองที่ทำงานร่วมกับ Rights Energy Partnership with Indigenous Peoples เล่าถึงผลกระทบที่เธอเห็นมากับตาในฐานะชนพื้นเมืองที่ใช้ชีวิตอยู่ในบริเวณแหล่งทำเหมือง เธอกล่าวว่าสิ่งที่ต้องพิจารณาจริงๆ ไม่ใช่แค่การเป็นชนพื้นเมือง การย้ายถิ่นที่อยู่ หรือการสูญเสียวิถีชีวิต แต่คือความแตกแยกที่เกิดขึ้นภายในชุมชน
ความแตกแยกดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ ฉันทานุมัติที่ได้รับการบอกแจ้ง รับรู้ล่วงหน้า และเป็นอิสระ (Free, Prior, and Informed Consent – FPIC) ถูกบิดเบือนและใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหาผลประโยชน์ ความแตกแยกนี้ไม่สามารถเยียวยาได้ และไปบ่อนทำลายความสามัคคีในชุมชน โรบีบอกว่าเธอเคยเห็นเหตุการณ์ที่คนในชุมชนถูกแบ่งแยก ถูกครอบงำ ถูกข่มขู่และคุกคามให้ตอบตกลงกับโครงการมาแล้ว แม้แต่เผ่าพื้นเมืองที่ไม่ติดต่อกับโลกภายนอกก็ไม่ได้รับการยกเว้น ยกตัวอย่างเช่น ชนเผ่าฮงกานา มันยาวา ในอินโดนีเซีย ที่ถูกบังคับให้ติดต่อกับคนนอกชุมชน
โรบียังชี้ให้เห็นถึงผลกระทบสำคัญอีกประการหนึ่ง นั่นคือ การทำลายพื้นที่ที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรม เช่น สถานที่ประกอบพิธีกรรม หรือสุสาน ที่ล้วนเชื่อมโยงลึกซึ้งกับอัตลักษณ์ของชนพื้นเมือง การหายไปของพื้นที่เหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะทำให้การสืบสานวัฒนธรรมและประเพณีของพวกเขาขาดตอนและอาจสูญหาย
อย่างไรก็ตาม โรบีย้ำชัดเจนว่าเธอไม่ได้ต่อต้านการพัฒนา และมองว่าการเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาดเป็นเรื่องจำเป็น แต่ชนพื้นเมืองต้องเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการตัดสินใจ ต้องมีการนำเครื่องมือหรือมาตรการคุ้มครองระดับนานาชาติมาใช้ เพื่อผลักดันให้ธนาคารซึ่งเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนร่วมรับผิดชอบ ชุมชนต้องมีส่วนร่วมตามหลักการ FPIC ตั้งแต่เริ่มต้น และทั้งหมดนี้ต้องไม่ใช่แค่สิ่งที่เกิดขึ้นบนหน้ากระดาษ แต่ต้องนำไปสู่การปฏิบัติจริง ชนพื้นเมืองต้องไม่ใช่เครื่องสังเวยให้กับการเปลี่ยนผ่านพลังงาน แต่คือ ‘หุ้นส่วน’ ที่จะเป็นพันธมิตรโดยตรงกับภาครัฐและภาคธุรกิจ
“ชนพื้นเมืองไม่ควรเป็นเพียงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ชนพื้นเมืองคือผู้ถือสิทธิ ผู้เสนอทางออก และผู้พิทักษ์ดูแลทรัพยากร ดังนั้นอย่ามองเราเป็นแค่หนึ่งในผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั่วไป การมีส่วนร่วมต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานสิทธิ เรามีสิ่งที่ต้องแลกมากมาย ทั้งที่ดิน ชีวิต และอนาคตของเรา" โรบี ฮาลิป กล่าว
แนวทางและความช่วยเหลือของธนาคารพัฒนาเอเชีย
เอริค แลม ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) พูดถึงทิศทางของ ADB ที่กำลังให้ความสำคัญกับ ห่วงโซ่คุณค่าแร่ธาตุสำคัญต่อการผลิต (Critical Minerals to Manufacturing Value Chains – CMM) ซึ่งจะพัฒนาไปเป็นมาตรการคุ้มครอง และความร่วมมือระดับภูมิภาค
โดย ADB มีแนวทางผลักดันทั้งหมด 6 ด้าน
- เสริมสร้างความร่วมมือและการรวมกลุ่มในระดับภูมิภาค ผ่านการรวมกลุ่มแบบเปิด (open regionalism) และการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ
- เสริมสร้างศักยภาพของภาครัฐด้วยนโยบาย ขีดความสามารถ เครื่องมือ และทรัพยากร ในการบริหารจัดการการพัฒนาห่วงโซ่คุณค่าแร่ธาตุสำคัญต่อการผลิตอย่างรับผิดชอบและยั่งยืน
- ส่งเสริมแนวปฏิบัติสากลที่ดีด้าน ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) และสนับสนุนการพัฒนาห่วงโซ่คุณค่าแร่ธาตุสำคัญต่อการผลิตที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำ
- ลดความเสี่ยงและกระตุ้นการลงทุนของภาคเอกชน เพื่อพัฒนาห่วงโซ่คุณค่าแร่ธาตุสำคัญต่อการผลิต โดยใช้แนวทางการทำงานครอบคลุมทุกภาคส่วนของธนาคาร
- ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและนวัตกรรม รวมถึงเทคโนโลยีดิจิทัล ที่สนับสนุนการพัฒนาห่วงโซ่คุณค่าแร่ธาตุสำคัญต่อการผลิตอย่างรับผิดชอบและยั่งยืน
- ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่นำไปสู่การรีไซเคิลและความเป็นวงจรที่มากขึ้น
นอกจากนี้ ADB ยังมี กรอบการทำงานด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม (Environmental and Social Framework) ซึ่งได้รับการรับรองในปี 2567 และจะมีผลบังคับใช้ในปี 2568 โดยส่วนหนึ่งของกรอบการทำงานย้ำว่า โครงการทั้งหมดจะต้องให้ชุมชนหรือคนพื้นเมืองมีส่วนร่วมตามหลักการ FPIC ในกรอบการทำงานยังระบุถึงมาตรฐานเกี่ยวกับแรงงาน สภาพการทำงาน และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ในส่วนของความร่วมมือระดับภูมิภาค เอริคชี้ว่า ADB มีตำแหน่งที่โดดเด่นในการช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน (ASEAN) ไปจนถึงภาคเอกชน เพื่อช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนา แบ่งปันแนวปฏิบัติที่ดีและเป็นสากล และเป็นตัวกลางนำประเทศต่างๆ มาร่วมกันเพื่อส่งเสริมมาตรฐาน ESG
“เมื่อชนพื้นเมืองเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ พวกเขาคือหุ้นส่วน และพวกเขาสามารถช่วยให้เกิดการยอมรับของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและทำให้โครงการดีขึ้นอย่างแท้จริง การทำเหมืองไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ความเฟื่องฟูของแร่ธาตุสำคัญดึงดูดผู้คนจำนวนมากเข้าสู่ภาคส่วนนี้ ดังนั้นเราต้องทำมันให้ดี” เอริค แลม กล่าว
ความเสี่ยงและผลร้ายต่อคนในพื้นที่ที่นักลงทุนต้องมองเห็น
ไชตรา นายัก, ผู้จัดการโครงการอาวุโส กลุ่มนักลงทุนเอเชียเพื่อแก้ไขการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (AIGCC) มองว่าความเสี่ยงในการลงทุนกับแร่ธาตุสำคัญยังถือเป็นเรื่องใหม่ ภารกิจที่เป็นหัวใจหลักของ AIGCC คือการนำหลักฐานและผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงกับชุมชนมาสื่อสารกับนักลงทุนให้ได้
ไชตรายกตัวอย่างการพาผู้จัดการสินทรัพย์และเจ้าของสินทรัพย์มาใกล้ชิดกับ ‘บริบท’ ของชนพื้นเมืองมากขึ้น ด้วยกรณีของการประชุมบริษัท Morowali Industrial Park (IMIP) และ Weda Bay Industrial Park (IWIP) ในอินโดนีเซีย ข้อความที่สะเทือนใจนักลงทุนคือการที่คนในพื้นที่บอกว่า พวกเขาไม่เข้าใจประโยชน์ของแร่นิกเกิลเลย รถยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่ความสะดวกสบายที่พวกเขาจะเข้าถึงได้ นี่คือตัวอย่างที่แสดงถึงความย้อนแยงในภูมิภาคที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ เธอกล่าวต่อว่าแนวปฏิบัติแรกสุดจึงต้องเป็นการจัดสรรผลประโยชน์เช่นหักเปอร์เช็นต์รายได้ให้กับคนในพื้นที่
ไชตรายังกล่าวเสริมถึงรายงาน ‘Place-Based Just Transition’ ที่ AIGCC จัดทำขึ้น เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านพลังที่ยุติธรรมที่อิงตามบริบทและพื้นที่ หมายความว่าการเปลี่ยนผ่านพลังงานทุกครั้งต้องหยั่งรากลึกและปรับเปลี่ยนให้เข้ากับท้องถิ่นนั้นๆ ถึงจะเป็นการเปลี่ยนผ่านพลังที่ยุติธรรมอย่างแท้จริง และคาดหวังให้นักลงทุนคือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มาช่วยรับความเสี่ยง
ASEAN และคำมั่นสัญญาระดับภูมิภาค
ดร. อัมบียา อับดุลลาห์ นักวิจัยอาวุโส ศูนย์พลังงานอาเซียน (ASEAN Centre for Energy) พูดถึง ‘แผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านพลังงานของอาเซียนปี 2569-2573 (ASEAN Plan of Action for Energy Cooperation 2026-2030)’ หรือ APAEC ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญกับประเทศสมาชิกอาเซียนในอีกห้าปีข้างหน้า
APAEC พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด “การขับเคลื่อนความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานและการเร่งรัดการลดคาร์บอนเพื่อการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยุติธรรมและครอบคลุม” แผนฯ นี้จะถูกใช้เป็นเอกสารอ้างอิงหลักเพื่อกำหนดแนวทางความร่วมมือด้านพลังงาน ซึ่งจะรับรองโดยรัฐมนตรีพลังงานของ 10 ประเทศสมาชิก หมายความว่าทุกประเทศในอาเซียนนั้นรับปากว่าจะจริงจังกับการเปลี่ยนผ่านพลังงานตามแนวทางของ APAEC ฉบับใหม่
อัมบียาอธิบายต่อว่า APAEC จะประกอบด้วย 3 เสาหลักที่เกี่ยวข้องกับภาคพลังงานในอาเซียน ได้แก่
- เสาหลักที่ 1 ‘ความมั่นคงและความยืดหยุ่นด้านพลังงาน’ ว่าด้วยการปรับปรุงระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้ทันสมัย, การบรรลุเป้าหมายโครงการโครงข่ายไฟฟ้าอาเซียน (ASEAN Power Grid – APG) และการซื้อขายไฟฟ้าพหุภาคี, ความมั่นคงด้านอุปทานก๊าซ, และการขนส่งคาร์บอนข้ามพรมแดน
- เสาหลักที่ 2 ‘การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยุติธรรมและครอบคลุม’ ว่าด้วยการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน, การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรม, ระบบขนส่งที่ยั่งยืนและการเปลี่ยนผ่านเชื้อเพลิง, เทคโนโลยีลดคาร์บอน, การเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิล, และพลังงานนิวเคลียร์
- เสาหลักที่ 3 ‘ประเด็นเฉพาะภาคส่วน’ ว่าด้วยประเด็น เช่น ห่วงโซ่อุปทานและแร่ธาตุสำคัญ, เศรษฐกิจหมุนเวียน, ตลาดคาร์บอน, ความเท่าเทียมทางเพศ ความพิการ และการอยู่ร่วมกันทางสังคม (Gender Equality, Disability, and Social Inclusion – GEDSI)
“การนำไปปฏิบัติคือสิ่งสำคัญ เราต้องแน่ใจว่าในห้าปีข้างหน้านี้เราจะปฏิบัติตามหัวข้อหลักที่เราตกลงกันไว้ และเราต้องการความเป็นหุ้นส่วนจากทุกคน โดยเฉพาะชนพื้นเมือง เพราะเราเรียนรู้ว่ากระบวนการกำหนดนโยบายนั้นมักมาจากบนลงล่าง แต่เพื่อให้แน่ใจว่าการนำไปปฏิบัติจะประสบความสำเร็จ เราก็ต้องการความร่วมมือจากสถาบันการเงิน ชนพื้นเมือง และประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ด้วย" ดร. อัมบียา อับดุลลาห์ กล่าว
แนวทางของประเทศไทยและประเทศสมาชิกอาเซียน กับความรับผิดชอบของภาคธุรกิจ
ศุภณัฐ แก้วเล็ก นักวิชาการยุติธรรมชำนาญการ กระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า รัฐบาลของประเทศอาเซียน รวมถึงประเทศไทย ควรทำสิ่งที่เรียกว่า 3P นั่นคือ
- 1. นโยบาย (Policy)
รัฐบาลควรพัฒนาและนำกฎหมายหรือนโยบายเกี่ยวกับธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนมาใช้ เพื่อให้แน่ใจว่าองค์กรธุรกิจจะเคารพสิทธิมนุษยชนตลอดกิจกรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้น โดยที่กฎหมายเหล่านี้ต้องสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เช่น หลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Guiding Principles on Business and Human Rights – UNGPs) เพื่อให้แน่ใจว่ากฎหมายหรือนโยบายสะท้อนถึงความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ศุภณัฐยกตัวอย่าง แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (Thailand’s National Adaptation Plan – NAP) ที่ผ่านการปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายครั้ง และได้รับผลตอบรับที่ดี
- 2. การปฏิบัติ (Practice)
ในส่วนนี้ศุภณัฐเน้นย้ำไปที่การดำเนินงานของรัฐบาลเป็นหลัก โดยอันดับแรก รัฐบาลควรทำหน้าที่เป็นต้นแบบสำหรับการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบ ยกตัวอย่างเช่น รัฐวิสาหกิจควรดำเนินงานโดยเคารพสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม หรือการมีกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่โปร่งใส
อันดับที่สอง รัฐบาลควรอำนวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจดำเนินกิจการอย่างมีความรับผิดชอบ สร้างสิทธิประโยชน์และแรงจูงใจสำหรับองค์กรที่เคารพสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม เช่น การลดหย่อนภาษี การเข้าถึงเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และการได้เข้าไปอยู่รายชื่อผู้ที่ได้รับสิทธิพิเศษในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
- 3. การเป็นหุ้นส่วน (Partnership)
สำหรับส่วนสุดท้าย ศุภณัฐกล่าวว่าความพยายามของรัฐบาลในการขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบจะไม่ประสบความสำเร็จหากขาดความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ดังนั้น รัฐบาลจึงควรมีส่วนในการสร้างความตระหนักรู้และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการร่วมมือ เช่นการสนับสนุนเสรีภาพในการแสดงออกของชุมชนท้องถิ่นหรือประชาชนทั่วไป ผ่านการออกกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก (Anti-SLAPP law)
กลับมาสู่บริบทของประเทศไทย ขณะนี้ประเทศไทยกำลังอยู่ในขั้นหารือเพื่อจัดทำร่างกรอบกฎหมายระหว่างประเทศและการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้านภาคบังคับ (Mandatory Human Rights Due Diligence – mHRDD) ศุภณัฐเล่าเสริมว่า กฎหมายนี้จะกำหนดให้บริษัทขนาดใหญ่ต้องใช้ HRDD เพื่อดำเนินธุรกิจทั้งในประเทศและการลงทุนในประเทศอื่น ทั้งนี้กระบวนการร่างอาจต้องใช้เวลานานเนื่องจากผลตอบรับที่เกิดขึ้นยังไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยภาคประชาสังคมให้การสนับสนุน ทว่ามีการคัดค้านอย่างหนักจากภาคธุรกิจ
"การเป็นหุ้นส่วนคือกุญแจสำคัญสำหรับการเปลี่ยนผ่านที่ยั่งยืน และเราต้องร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด เพื่อให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนผ่านพลังงานจะยั่งยืน" ศุภณัฐ แก้วเล็ก กล่าว

หนทางในอนาคต: ตัวอย่างความสำเร็จจากแอฟริกา
เวโรนิกา ซาโน ที่ปรึกษาโครงการระดับภูมิภาคอุตสาหกรรมการสกัดแร่ Oxfam South Africa ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในแอฟริกา และเน้นย้ำถึงกลไกและข้อเรียกร้องที่ทำให้โครงการเหมืองแร่ธาตุสำคัญมีความรับผิดชอบ และได้รับเงินทุนจากสถาบันการเงิน
ในแอฟริกา ธนาคารเพื่อการพัฒนาแอฟริกา (African Development Bank – AfDB) มีบทบาทอย่างมากในฐานะผู้นำการสนับสนุนเทคโนโลยีพลังงานสีเขียว และมีส่วนช่วยในการพัฒนา ยุทธศาสตร์แร่ธาตุสีเขียวของแอฟริกา (Africa`s Green Minerals Strategy – AGMS) ซึ่งจุดยืนสำคัญคือการรับรองว่า การให้เงินทุนจะต้องกำหนดให้มีการประเมินผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ครอบคลุม รวมถึงการนำหลักการ FPIC มาใช้อย่างจริงจัง โดยทั้งหมดนี้ถูกบันทึกไว้ในระบบข้อมูลเชื่อมโยงถึงกัน
เวโรนิกายกตัวอย่างประเทศ มาลาวี ที่บังคับให้มีข้อตกลงการพัฒนาชุมชน (Community Development Agreements) เพื่อให้ชุมชนได้ประโยชน์จากเหมือง พร้อมกับกลไกรับเรื่องร้องเรียน หรือโครงการใหญ่ เช่น Lobito Corridor ที่สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และ AfDB ร่วมมือกันผลักดันการใช้มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมระดับสูง เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและความรับผิดชอบ
“สิ่งที่จำเป็นคือการวางบทบาทของชุมชนและภาคประชาสังคม ให้เป็นผู้มีส่วนร่วมในกระบวนการลงทุนทั้งหมด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการประสานความร่วมมือที่ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสถาบันการเงิน”
เวโรนิกา ซาโน กล่าวเพื่อย้ำอีกครั้งว่า ภาคประชาสังคมและชุมชนพื้นเมืองคือหัวใจหลักของการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยุติธรรม ท่ามกลางการแข่งขันแย่งชิงแร่สำคัญและแรร์เอิร์ธในระดับโลก
แหล่งข้อมูล
- ThaiPublica. (2025, October 19). ASEAN Roundup อาเซียนเปิดตัว ASEAN Power Grid Financing กลไกการเงินเพื่อเชื่อมโครงข่ายไฟฟ้าข้ามพรมแดนในภูมิภาค. ThaiPublica. https://thaipublica.org/2025/10/asean-weekly-roundup-324/
- ETOs Watch Coalition. (2025, February 24). เปิดปฐมบทหารือภาคประชาสังคม ร่าง mHRDD ไทยจะไปทิศทางไหน?. ETOs Watch Coalition (WordPress.com). https://etowatchcom.wordpress.com/2025/02/24/เปิดปฐมบทหารือภาคประชา/